สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (http://legacy.orst.go.th/) ให้นิยามและแบ่งทุนชีวิตไว้เป็น ทุนชีวิตภายใน และทุนชีวิตภายนอก ตามข้อเขียนของ ผศ.ดร.จินดารัตน์ โพธ์นอก ไว้อย่างน่าสนใจดังข้อความข้างล่างนี้
ในระบบทุนนิยมที่ขับเคลื่อนด้วยพลังทางเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญต่อการลงทุนทรัพย์สินต่าง ๆ อาจทำให้เราหลงลืมว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ทุนชีวิต หลายคนอาจยังไม่เข้าใจว่า ทุนชีวิต คืออะไร วันนี้จึงได้นำคำอธิบายที่คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศึกษาศาสตร์ร่วมสมัย ราชบัณฑิตยสถาน ได้อธิบายไว้มาเสนอ
ทุนชีวิต (life assets) หมายถึง คุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่มีผลต่อการพัฒนาทางด้านจิตใจ สังคม และสติปัญญา เกื้อหนุนให้เจริญเติบโตและดำรงชีพอยู่ได้อย่างเข้มแข็งและมีความสุข มนุษย์มีทุนชีวิตในระดับหนึ่งมาตั้งแต่เกิด และเพิ่มขึ้นตามวัยจากการอบรมเลี้ยงดู ความรัก ความเอาใจใส่ ความเข้าใจของพ่อแม่และบุคคลรอบข้าง รวมทั้งปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้จากธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทุนชีวิตเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้มีพลังในการปรับตัวและเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงได้
คำ life assets ปรับมาจากคำว่า developmental assets พัฒนาโดยนายแพทย์สุริยเดว ทริปาตี และคณะ เดิมแปลว่า ต้นทุนชีวิต ต่อมาเปลี่ยนเป็น ทุนชีวิต เน้นการนำมาใช้พัฒนาเด็กและเยาวชน ทุนชีวิตเป็นพลังเชิงบวกหรือพลังสร้างสรรค์ ประกอบด้วย ทุนชีวิตภายใน (internal assets) และทุนชีวิตภายนอก (external assets)
ทุนชีวิตภายใน คือ พลังตัวตน (power of self) เป็นพลังทางบวกที่แต่ละคนมีอยู่และเพิ่มขึ้นจากการหล่อหลอมและเรียนรู้ พลังตัวตนมีความสำคัญมากสำหรับคนทุกวัย ได้แก่ การเห็นคุณค่าของตนเอง การยึดมั่นในพฤติกรรมที่ดี และการมีทักษะในการสร้างสัมพันธภาพกับผู้อื่น ส่วนทุนชีวิตภายนอก ประกอบด้วย พลังครอบครัว (power of the family) พลังเพื่อนและกิจกรรม (power of peer: creative activity) พลังชุมชน (power of community) และพลังสร้างปัญญา (power of wisdom) พลังทั้ง ๔ ด้านนี้มีความหมายอย่างมากต่อการสร้างพลังตัวตน ซึ่งเป็นทุนชีวิตภายในของคนทุกรุ่นทุกวัยที่เชื่อมโยงเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน ช่วยเสริมให้ชีวิตเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรงสมบูรณ์…..จินดารัตน์ โพธิ์นอก
เจมส์ เจ. เฮกแมน (James J. Heckman) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล เสนอว่า การลงทุนในเด็กปฐมวัยเป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาทุนมนุษย์ที่ได้ผลลัพธ์และผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มเด็กด้อยโอกาสจากครอบครัวยากจน [https://www.eef.or.th/invest-in-early-childhood-development/]
พ.ศ. 2563 ธนาคารโลกเสนอดัชนีทุนมนุษย์ (Human Capital Index: HCI) เป็นตัวชี้วัดระดับทุนมนุษย์ (ผลิตภาพ ทักษะ ความสามารถ ฯลฯ) ที่คาดว่าเด็กแรกเกิดแต่ละคนพึงมี เมื่ออายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ดัชนีทุนมนุษย์มีค่าระหว่าง 0 และ 1 และดัชนีนี้จะมีค่าเท่ากับ 1 ได้ ก็ต่อเมื่อมนุษย์ที่เกิดในประเทศนั้นมีสุขภาพสมบูรณ์ เช่น ไม่มีภาวะเตี้ยแคระแกร็น (stunting) และคาดว่าจะมีอายุขัยอย่างน้อย 60 ปี และสำเร็จการศึกษาตามศักยภาพ โดยได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นเวลา 14 ปี
รายงานธนาคารโลกฉบับดังกล่าวระบุว่า ประเทศไทยมีค่าดัชนีทุนมนุษย์ 0.61 ซึ่งหมายความว่า เด็กที่เกิดและเติบโตในไทยในวันนี้จะสร้างผลิตภาพเพียงร้อยละ 61 ของศักยภาพที่มี หากได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพและการดูแลด้านสุขภาพอย่างเต็มที่ ตัวเลขดังกล่าวค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับค่าดัชนีทุนมนุษย์ของประเทศอื่นๆ อย่างสิงคโปร์ (ร้อยละ 88) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 80) เกาหลีใต้ (ร้อยละ 80) หรือเวียดนาม (ร้อยละ 69) ดังแสดงในรูปที่ 2

รูปที่ 2 เปรียบเทียบดัชนีทุนมนุษย์ของประเทศต่างๆ
ที่มา: World Bank
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ) แบ่งทุนชีวิตตามทักษะเป็น 3 อย่าง คือ
ทักษะการอ่านออกเขียนได้
ทักษะด้านดิจิทัล
ทักษะทางสังคมและออนไลน์

ที่มา: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ)
การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งในการเพิ่มทุนชีวิตให้กับตนเอง มีการศึกษาจำนวนมากที่พยายามแจกแจงผลกระทบของการศึกษาที่มีต่อการครองชีพทั้งในช่วงวัยทำงานและหลังเกษียณ ตัวอย่างรายงานการศึกษาดังเช่น

รูปที่ 4 สถานะของทักษะทุนชีวิตในประเทศไทย
ที่มา: กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ)
ทำนองเดียวกัน มีการศึกษาในต่างประเทศจำนวนมากที่รายงานความสัมพันธ์ระหว่างทุนชีวิตกับการศึกษา ตัวอย่างเช่น Fernando Loaiza รายงานในการศึกษาว่าการศึกษาเป็นหนึ่งใน 3 ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อ การออม ผลตอบแทน และกองทุนในประเทศสหรัฐอเมริกา นั่นคือ การศึกษา สถานะของบรรพบุรุษ และมรดก อีกทั้งยืนยันว่าการศึกษาช่วยทำให้บุคคลสามารถลงทุนอย่างฉลาดและสร้างความมั่นคงทางการเงินได้ [Life Cycle Implications of Schooling on Financial Assets, Fernando Loaiza]
จากการศึกษาที่ LUND University โดย Bingley, P. และ Martinello, A. รายงานว่าสิ่งสำคัญที่ได้รับจากการศึกษาคือการเข้าสู่สังคมแรงงานและพฤติกรรมด้านการเงินในระยะยาว การศึกษาเปรียบเทียบความมั่งคั่งสะสมตลอดอายุขัย ของบุคคลที่มีระดับการศึกษาต่างๆในประเทศเดนมาร์กและประเทศสหรัฐอเมริกา ในประเทศเดนมาร์ก บุคคลที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาจะมีความมั่งคั่งสะสมมากกว่าบุคคลที่ไม่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา ตลอดช่วงอายุวัยทำงาน (จนกระทั่ง 60 ปี) ในประเทศสหรัฐอเมริกาก็เป็นในทำนองเดียวกัน ดังในรูปที่ 5

รูปที่ 5 ความมั่งคั่งสะสมตลอดอายุขัย ของบุคคลที่มีระดับการศึกษาต่างๆ
ที่มา: The Effects of Schooling on Wealth Accumulation Approaching Retirement, Bingley, Paul; Martinello, Alessandro, LUND University, 2017
การศึกษาของ World Bank ซึ่งรวบรวมข้อมูลตั้งแต่ปี ค.ศ. 1950 จาก 139 ประเทศ พบว่า อัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนส่วนบุคคลเป็น 9% ต่อการศึกษาที่มากขึ้นทุก 1 ปี และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุนที่มีต่อสังคมเป็น 10% ต่อการศึกษาระดับมัธยมปลายและอุดมศึกษาที่มากขึ้นทุก 1 ปี [ที่มา: Returns to Investment in Education, George Psacharopoulos and Harry Antony Patrinos, World Bank Policy Research Working Paper 8402]