ในประเทศสิงคโปร์มีโปรแกรมช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาลสำหรับประชาชน พอจะเทียบเคียงกับกองทุนบัตรทองของไทย ชื่อ CHAS ย่อมาจาก Community Health Assist Scheme จึงน่าสนใจที่จะนำมาเปรียบเทียบกัน นำข้อดีมาปรับปรุงกองทุนบัตรทองของเรา ข้อมูลจากเวปไซต์ CHAS (https://www.chas.sg/pages/default.aspx) พอจะสรุปได้ว่า
ผู้มีสิทธิที่จะขอรับเงินช่วยเหลือ
พลเมืองของประเทศสิงคโปร์และผู้ที่ได้รับอนุญาตให้พำนักอย่างถาวรทุกคนมีสิทธิที่จะขอรับเงินช่วยเหลือ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับตามรายได้ และจะได้รับบัตร CHAS ตามสี ดังนี้
1.บัตรสีเขียว (CHAS Green) ครอบครัวที่มีรายได้จากเงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัว เฉลี่ยอย่างน้อย 2,300 เหรียญสิงคโปร์ต่อคนต่อเดือน
ครอบครัวที่มีรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินอย่างน้อย 31,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี
2.บัตรสีส้ม (CHAS Orange) ครอบครัวที่มีรายได้จากเงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัว เฉลี่ยระหว่าง 1,501-2,300 เหรียญสิงคโปร์ต่อคนต่อเดือน
ครอบครัวที่มีรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินระหว่าง 21,001-31,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี
3.บัตรสีน้ำเงิน (CHAS Blue) ครอบครัวที่มีรายได้จากเงินเดือน หรือธุรกิจส่วนตัว เฉลี่ยไม่เกิน 1,500 เหรียญสิงคโปร์ต่อคนต่อเดือน
ครอบครัวที่มีรายได้จากค่าเช่าทรัพย์สินไม่เกิน 21,000 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี
นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรม Pioneer Generation และ Merdeka Generation สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งจะเล่าให้ฟังภายหลัง
สิทธิประโยชน์
CHAS ไม่จ่ายให้ทั้งหมด แต่จะช่วยจ่ายให้บางส่วนตามชนิดของการ์ดและโรค ดังนี้
ผู้ถือ CHAS card มีสิทธิประโยชน์ในการเข้ารับการรักษาพยาบาลและรักษาฟันตามคลินิกที่ร่วมโครงการ



เป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มผู้ถือบัตรเขียวเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูงกว่าอีกสองกลุ่ม แต่กลับได้รับสิทธิเงินช่วยเหลือน้อยกว่า
และเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นในการเปรียบเทียบ อาจจะใช้ค่าแรงขั้นต่ำราว 1,600 เหรียญสิงคโปร์ต่อเดือนเป็นตัวเปรียบเทียบ [ข้อมูลจาก Ministry of Manpower, www.mom.gov.sg]
เงินอุดหนุนจากภาครัฐสำหรับโรคทั่วไป สูงสุดไม่เกิน 18.50 เหรียญสิงคโปร์ต่อครั้ง หรือ 1.16% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือน
เงินอุดหนุนจากภาครัฐสำหรับโรคเรื้อรัง สูงสุดไม่เกิน 80 เหรียญสิงคโปร์ต่อครั้ง หรือ 5% ของค่าแรงขั้นต่ำต่อเดือน และ สูงสุดไม่เกิน 300 เหรียญสิงคโปร์ต่อปี หรือ 1.16% ของค่าแรงขั้นต่ำทั้งปี
สำหรับการรักษาโรคฟัน บัตรเขียวจะไม่สามารถใช้สิทธิเงินช่วยเหลือได้เลย ส่วนบัตรสีส้มและบัตรสีน้ำเงิน สามารถใช้สิทธิเงินช่วยเหลือ ดังนี้

กองทุนบัตรทอง
มาดูงบประมาณกองทุนบัตรทองของไทยบ้าง โดยเรียงจากมากไปน้อย
-งบทั้งหมดสำหรับปี พ.ศ.2568 เท่ากับ 236,386.52 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็น
-งบเหมาจ่ายรายหัว 181,841.84 ล้านบาท
-งบสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค 25,383.96 ล้านบาท
-งบผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง 13,506.17 ล้านบาท
-งบบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 5,953.42 ล้านบาท
-งบผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ 4,209.45 ล้านบาท
-งบเพิ่มเติมบริการระดับปฐมภูมิ 2,181.23 ล้านบาท
-งบเพิ่มเติมหน่วยบริการพื้นที่กันดาร-เสี่ยงภัยและจังหวัดชายแดนใต้ 1,490.29 ล้านบาท
-งบบริการควบคุมป้องกันและรักษาโรคเรื้อรัง 1,298.92 ล้านบาท
-งบช่วยเหลือเบื้องต้นสำหรับผู้รับบริการและผู้ให้บริการ 522.92 ล้านบาท
มีผู้ใช้สิทธิบัตรทอง 47.157 ล้านคน ดังนั้นงบเหมาจ่ายเฉลี่ยรายหัวในปี พ.ศ. 2568 เป็น 3,856.08 บาท
ซึ่งเทียบกับรายได้ขั้นต่ำเฉลี่ย 20,000 บาทต่อเดือนต่อคน หรือ 240,000 บาทต่อปีต่อคน งบเหมาจ่ายเฉลี่ยรายหัวจะเป็น 1.6 %

ภาพจาก: The Coverage [https://www.thecoverage.info/news/content/7975]
น่าจะเป็นข้อมูลให้เปรียบเทียบว่ากองทุนบัตรทองของเราเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับระบบที่ใกล้เคียงกัน แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าในประเทศสิงคโปร์มีระบบ CPF อีกด้วย ซึ่งโอกาสหน้าจะเล่าให้ฟัง