หลายครั้งที่มีความไม่สะดวกในการใช้บริการรักษาพยาบาล มักมีข้อสงสัยว่าระบบประกันสุขภาพของไทยดีพอหรือไม่ บางครั้งที่มีข่าวว่าพลเมืองของประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของไทย บุคคลากรทางการแพทย์ของไทยลาออกเพราะงานหนักเกินไป ยิ่งทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบรักษาพยาบาลของไทยว่าเหมาะสมเพียงใด จึงเป็นที่น่าสนใจที่จะศึกษาระบบรักษาพยาบาลของประเทศอื่นๆ ระบบประกันสุขภาพที่ได้รับการพัฒนามาเป็นเวลานานอย่างเช่นในทวีปยุโรปและอเมริกาก็เป็นที่น่าสนใจ คำถามแรกที่มักจะถามกัน คือ ค่าบริการรักษาพยาบาลในทวีปยุโรปและอเมริกาฟรีหรือไม่ [https://www.investmentvisa.com]
แม้ว่าประเทศส่วนใหญ่ในยุโรปอยู่ภายใต้สหภาพยุโรป (European Union) ซึ่งเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์โดยรวม เพื่อให้ประเทศสมาชิกนำไปกำหนดเป็นกฎหมายและระเบียบต่อไป แต่ระบบดูแลสุขภาพของแต่ละประเทศก็ไม่เหมือนกันทีเดียว
ความจริงอีกข้อหนึ่งคือ ค่าบริการสุขภาพไม่ฟรีอย่างที่เข้าใจกัน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้จะได้รับการอุดหุนจากการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งมาจากเงินภาษีจากประชากรในท้องถิ่น
ในหลายประเทศ เช่น กรีก เยอรมนี อิตาลี สเปน และโปรตุเกส คนไข้แทบจะไม่ต้องจ่ายเพิ่มเลย หรือถ้ามีค่าบริการเพิ่มเติม ก็เป็นการจ่ายร่วม (co-payment) ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจะไม่มากนัก และสามารถจ่ายได้
บางประเทศในยุโรปมีทางเลือกด้วยบริการสุขภาพเอกชน แต่ค่าบริการจากบริการสุขภาพเอกชนไม่สูงมาก โดยเฉลี่ย 30 ยูโรต่อเดือน
การบริหารจัดการของประเทศต่างๆแตกต่างกันไป ได้แก่
ระบบรัฐรับผิดชอบค่าใช้จ่ายแต่ผู้เดียว (The Single-Payer or the National Health Insurance Model) เป็นรูปแบบการบริหารจัดการโดยเอกชน รัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย ประเทศที่บริหารจัดการแบบนี้คือ นอเวย์ สวีเดน เดนมาร์ก และฟินแลนด์
ระบบจัดการโดยรัฐ (The Beveridge or Government Owned and Run Model) เป็นรูปแบบการบริหารจัดการโดยรัฐ รวมถึงการจัดหาแพทย์ พยาบาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ประชาชนที่ลงทะเบียนในระบบ Social security และมีการหักรายได้รายเดือน เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ประเทศที่ใช้ระบบบริหารจัดการแบบนี้ คือ สหภาพอังกฤษ สเปน และโปรตุเกต
ระบบจัดการโดยเอกชน (The Bismarck or Privatized, but Regulated Model) เป็นระบบบริหารจัดการผ่านการซื้อประกันสุขภาพ อัตราเบี้ยประกันถูกควบคุมโดยรัฐ เบี้ยประกันจะถูกหักจากรายได้ประจำเดือน ผู้เอาประกันอาจต้องจ่ายเงินสมทบ (co-payment) สำหรับค่าบริการบางประเภท อีกทั้งรัฐอาจจ่ายเงินอุดหนุนบางส่วนให้กับผู้มีรายได้น้อย
ระบบที่จ่ายเงินเอง (The Out-of-Pocket Model) การบริหารรูปแบบนี้ ผู้เข้ารับบริการต้องจ่ายเงินให้กับผู้ให้บริการเอกชน โดยไม่มีเงินอุดหนุนจากรัฐ ไม่มีการควบคุมอัตราเบี้ยประกันสุขภาพ
ในรายงาน Health Index Report ประจำปี 2023 มี 13 ประเทศในยุโรปได้รับคะแนนสูงใน 20 อันดับแรก นอร์เวย์อยู่ในอันดับ 7 และเป็นประเทศที่ได้รับคะแนนสูงสุดของประเทศต่างๆในยุโรป ตามมาด้วย ไอซ์แลนด์ สวีเดน สวิสเซอร์แลนด์ เนเทอร์แลนด์ ลักเซมเบิกจ์ อิตาลี มอลตา และฝรั่งเศส
World Population Review นำเสนอข้อมูล 10 อันดับแรกของ Health Care Index การจัดลำดับของ CEOWORLD ปี 2024 ดังนี้ [https://worldpopulationreview.com/country-rankings/best-healthcare-in-the-world]
Health care index 2024
1.Taiwan 78.7
2.South Korea 77.7
3.Australia 74.1
4.Canada 71.3
5.Sweden 70.7
6.Ireland 68.0
7.Netherlands 65.4
8.Germany 64.7
9.Norway 64.6
10.Israel 61.7
ในรายงานเดียวกันนี้ Health Care Index สำหรับประเทศไทยอยู่ที่ลำดับ 33
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีการจัดอันดับโดยหน่วยงานหลายแห่ง มีทั้ง CEOWORLD NUMBEO WHO ซึ่งใช้ข้อมูลต่างกัน และมีการเปลี่ยนแปลงในลำดับของแต่ละประเทศค่อนข้างมาก ข้อมูลข้างต้นจึงอาจใช้เชิงเปรียบเทียบเท่านั้น
บทความ Privatizing health care is not the answer: lessons from the United States โดย Marcia Angell ตีพิมพ์ใน Canadian Medical Association Journal (CMAJ) [CMAJ. 2008 Oct 21;179(9):916–919. doi: 10.1503/cmaj.081177] เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายสำหรับระบบประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกากับคานาดา ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยสำหรับระบบประกันสุขภาพในปี 2005 ในสหรัฐอเมริกาเท่ากับ US$6,697 โดยที่รัฐช่วยออกให้ US$4,048 ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในคานาดาเป็น US$3,326 รัฐช่วยออกให้ US$2,322 ประชากรในประเทศคานาดาทุกคนรวมอยู่ในระบบประกันสุขภาพนี้ ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกามีประชากรราว 15% ไม่อยู่ในระบบประกันสุขภาพ ระบบประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาดำเนินการโดยเอกชนและนักลงทุน การบริหารจัดการจึงเป็นลักษณะการบริหารสินค้า (commodity) ซึ่งมีเป้าหมายเป็นกำไร ไม่ใช่ลักษณะบริการสาธารณะ (social service) ขอบเขตของการรักษาพยาบาลขึ้นอยู่กับความสามารถที่ผู้เอาประกันจะจ่ายได้ ไม่ได้เป็นไปตามความต้องการรักษาพยาบาล โดยทั่วไปผู้ที่มีความจำเป็นต้องการการรักษาพยาบาลมักจะเป็นผู้ที่ไม่มีความสามารถในการจ่าย จึงเป็นความขัดแย้งและทำให้เกิดความไม่มีประสิทธิภาพ โรงพยาบาลต่างๆในสหรัฐอเมริกาจึงมีการโฆษณาเพื่อรับผู้ป่วย (ลูกค้า) จำนวนมากที่มีความสามารถในการจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการรักษา ตัวอย่างที่มักจะเกิดขึ้นคือ ผู้ป่วยที่รวยมักจะได้รับบริการ MRI ทั้งที่ไม่มีความจำเป็น ในขณะที่ผู้ป่วยยากจนไม่ได้รับบริการ MRI ทั้งที่จำเป็น
ประเด็นสำคัญ
- ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสำหรับระบบประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาสูงราวสองเท่าของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนสำหรับระบบประกันสุขภาพในคานาดา
- ระบบประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกาเป็นระบบที่ดำเนินการโดยเอกชน เป็นการบริหารจัดการสินค้าเพื่อผลกำไรผ่านธุรกิจประกันสุขภาพ และทำให้ผู้ที่ไม่สามารถชำระเบี้ยประกันสุขภาพได้ถูกกันออกจากระบบที่จะให้การรักษาพยาบาล
- ระบบประกันสุขภาพเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจเพื่อผลกำไร มักจะทำให้ต้นทุนการรักษาพยาบาลแพงกว่าระบบประกันสุขภาพที่ดำเนินการโดยรัฐซึ่งเป็นบริการสาธารณะ
- ถ้าให้มีระบบของเอกชนมาร่วมด้วย จะทำให้การบริการเร็วขึ้น แต่จะช่วยในระยะสั้นเท่านั้น
- ถ้ามีระบบของเอกชนมาร่วมด้วย จะมีการถ่ายเททรัพยากรทางการแพทย์ไปสู่ระบบของเอกชน และทำให้ต้นทุนโดยรวมเพิ่มขึ้น
- ระบบประกันสุขภาพของคานาดายังต้องมีทรัพยากรเพิ่มขึ้น