Posted on

Pfizer ประกาศความสำเร็จในการทดสอบวัคซีนต้าน COVID-19 ด้วยอัตราสมรรถภาพ 90%

ข่าวจาก VOA Thai รายงานว่า Pfizer ร่วมกับ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศเยอรมนี ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ความสำเร็จของการทดลองวัคซีนชนิดหนึ่งสำหรับต้านไวรัส COVID-19 ซึ่งได้มีการค้นคว้ากันทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2563 บริษัททั้งสองเปิดเผยว่า ได้ประสบความสำเร็จในการวิเคราะห์เบื้องต้นของการทดสอบวัคซีน BNT162b2 Pfizer ได้เริ่มการทดสอบแบบปฏิบัติการคลีนิคระยะที่ 3 เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2563 กับผู้ร่วมการทดลองจำนวน 43,538 คน ด้วยการให้วัคซีนกับผู้ร่วมการทดลองจำนวนหนึ่ง และให้น้ำเกลือกับผู้ร่วมการทดลองที่เหลือ โดยไม่ให้รู้ว่าคนไหนได้รับวัคซีนคนไหนได้รับน้ำเกลือ มีเพียงคณะกรรมการอิสระที่ควบคุมการทดสอบเท่านั้นที่มีข้อมูล

จากผู้ร่วมการทดลองจำนวน 43,538 คน มีเพียง 94 คนที่มีอาการของผลของไวรัส ซึ่งเท่ากับอัตราสมรรถภาพ 90 % ของผู้ร่วมการทดลองที่ไม่มีอาการของผลของไวรัส จะมีการทดสอบต่อเนี่องไปอีกในลัษณะเดียวกัน จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ได้มีการให้วัคซีนครั้งที่ 2 กับผู้ร่วมการทดลองไปแล้วจำนวน 38,955 คน

สมรรถภาพ และ ประสิทธิภาพ

Pfizer รายงานว่า “อัตราสมรรถภาพ (efficacy rate) ราว 90%” ซึ่งทำให้เป็นที่เข้าใจว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 90%  ในความเป็นจริง สมรรถภาพ (efficacy) และ ประสิทธิภาพ (efficiency) มีความแตกต่างกัน นักภูมิคุ้มกันไวรัสวิทยา Zania Stamataki ของ University of Birmingham ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า “สมรรถภาพ (efficacy) คือความสามรถภายใต้สถานะการณ์ที่ควบคุม ส่วน ประสิทธิภาพ (efficiency) คือความสามารถในสภาวะที่เป็นจริง ไม่มีการควบคุม”

วัคซีนปลอดภัยหรือไม่

คณะกรรมการติดตามผลการทดลองรายงานว่า ยังไม่พบผลกระทบต่อความปลอดภัยอย่างร้ายแรงในการทดลองระยะ 3 Pfizer และ BioNTech จะยังคงรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับความปลอดภัยต่อไป Stamataki คาดว่าจะได้รับข้อมูลที่เกี่ยวกับความปลอดภัยจากการฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 ในเร็วๆนี้ FDA จะทำการวิเคราะห์และเปิดเผยผลการวิเคราะห์ในราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นจะยังคงมีการติดตามผลกระทบระยะยาวในผู้ร่วมการทดลองต่อไปอีก 2 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 แม้ว่าจะมีการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลายแล้วก็ตาม

ผลกระทบต่อสาธารณะชน

นิวยอร์คไทม์รายงานว่า “ผุ้บริหารระดับสูงของ Pfizer กล่าวว่าบริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนได้ราว 30-40 ล้านชุดภายในปี2563 ซึ่งจะใช้ฉีดให้คนได้ 15-20 ล้านคน คนละ 2 ชุด เป็นการให้ภูมิคุ้มกันครั้งแรก และครั้งที่สองเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยที่จะฉีดให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและช่วยเหลือก่อน ซึ่งจะครอบคลุม 42% ของกลุ่มคนดังกล่าวทั่วโลก และ 30% ของกลุ่มคนดังกล่าวในสหรัฐอเมริกา Pfizer และ BioNTech คาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 1,300 ล้านชุดในปี 2564 ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของทั้งโลก แต่ถ้าบริษัทอื่นสามารถผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันได้ ก็จะเพียงพอกับความต้องการของทั้งโลก ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานกว่า 10 แห่งทั่วโลกที่กำลังทำการทดลองอยู่

อย่างไรก็ตามผู้ทรงคุณวุฒิยังคงสนับสนุนให้มีการรักษาระยะห่างในกลุ่มคน (social distancing) และสวมหน้ากากอนามัย (mask) ต่อไปจนกว่าจะสามารถผลิตวัคซีนที่มีประสืทธิภาพอย่างเพียงพอ

[ที่มา: https://www.msn.com/en-us/health/medical/pfizer-s-covid-19-vaccine-has-a-90-percent-efficacy-rate-what-does-that-mean/ar-BB1aSXXE?ocid=msedgntp]

Posted on

ระบบ CPF ของ ประเทศสิงคโปร์

จาก website www.cpf.gov.sg ซึ่งเป็น website ของรัฐบาล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน Central Provident Fund (CPF) ซึ่งเป็นรากฐานของระบบประกันสังคม (Social security system) ไว้อย่างน่าสนใจ และอาจจะเป็นประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกองทุนที่เรามีอยู่เพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในอนาคต

สำหรับพนักงานที่มีเงินเดือน จะมีการหักเงินเก็บส่วนหนึ่งจากเงินเดือน และนายจ้างต้องจ่ายสมทบส่วนหนึ่ง อัตราการหักจากเงินเดือนและเงินสมทบแตกต่างกันขึ้นกับอายุของพนักงานตามตารางข้างลางนี้

เงินที่หักจากรายได้ของพนักงานและเงินสมทบจากนายจ้างจะถูกแบ่งไปเก็บไว้เป็น 4 ส่วนในบัญชีของพนักงาน ได้แก่

  1. Ordinary account (OA)
  2. Special account (SA)
  3. Medisave account (MA)
  4. Retirement account (RA)

ภาพจาก : Central Provident Fund Board (www.cpf.gov.sg)

สัดส่วนการแบ่งไปยังบัญชีต่างๆจะเปลี่ยนแปลงตามช่วงอายุ จากประกาศล่าสุดของรัฐบาลซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024 ตามตารางข้างล่าง

                การสะสมเงินใน CPF แต่ละเดือนมีกำหนดจำนวนสูงสุดด้วยอัตราเงินเดือน (Wage ceiling) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Ordinary wage ceiling และ Additional wage ceiling ในปี ค.ศ. 2024 เงินเดือนสูงสุดที่ใช้คำนวณเงินหักเก็บใน Ordinary account หรือ Ordinary wage ceiling เป็น S$6,800 และเมื่อรวมรายได้ที่ใช้คำนวน Additional wage ceiling ต้องไม่เกิน S$102,000 ต่อปี

เมื่อมีความต้องการจะเบิกเงินออมในบัญชี CPF ก็สามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้

  1. เบิกจากบัญชี Ordinary account สามารถนำไปใช้ซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์
  2. เบิกจากบัญชี Medisave account เพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล ทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว นอกจากนี้ยังสามารถนำไปจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับโปรแกรมที่ได้รับความห็นชอบจากรัฐบาล
  3. เบิกจากบัญชี Retirement account เพื่อใช้ในการดำรงชีพเมื่ออายุครบ 55 ปี ซึ่งสามารถเบิกเป็นรายเดือนหรือเป็นงวดเดียวก็ได้

ในกรณีที่ยังมีเงินสะสมในบัญชี CPF หลังจากเสียชีวิต เงินสะสมที่เหลืออยู่จะถูกโอนให้กับทายาทหรือผู้ที่ถูกระบุไว้ ถ้าไม่มีทายาทหรือระบุผู้รับผลประโยชน์ เงินสะสมที่เหลืออยู่จะถูกโอนไปยังกองทุนเพื่อสาธารณะต่อไป