Posted on

โรคนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ

7 มกราคม 2567

ผู้สูงอายุมักมีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ บ้างทราบสาเหตุ บ้างไม่ทราบสาเหตุ การนอนไม่หลับอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดความเครียดและเป็นต้นเหตุให้ร่างกายอ่อนแอและเกิดโรคอื่นๆตามมา มีการวินิจฉัยถึงสาเหตุของการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ และมีคำแนะนำในการแก้ปัญหามากมายจากผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรวบรวมเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้สูงอายุ ดังนี้

“เมื่อผู้สูงอายุนอนไม่หลับ”

โดย ศ.นพ. ประเสริฐ อัสสันตชัย เวชศาสตร์ผู้สูงอายุ (Geriatric Medicine) คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

เมื่อเอ่ยถึงความชรา ท่านผู้อ่านคงนึกถึงคนที่มีผมสีดอกเลา เดินหลังค่อมเล็กน้อย ผิวหนังหยาบกร้านและเหี่ยวย่น แต่นั่นเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้จากภายนอก มีใครบ้างที่คิดว่าความชรายังมีผลกระทบไม่น้อยต่อการเปลี่ยนแปลงในอวัยวะระบบต่างๆ หนึ่งในอวัยวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนนั้นก็คือ สมอง อวัยวะที่มีน้ำหนักราว 1400 กรัม ในศีรษะของเรานั่นเอง

            อาการนอนไม่หลับก็เป็นอาการหนึ่งที่เกิดจากสมองทำงานไม่เป็นปกติ เช่นเดียวกับอาการหมดสติหรือหลับไม่ยอมตื่น แต่อย่างหลังดูจะทำให้ญาติหรือคนใกล้ชิดตกใจได้มากกว่าและรีบพาไปพบแพทย์ ขณะที่ผู้สูงอายุที่มีอาการนอนไม่หลับ ญาติมักจะปล่อยปละละเลย บางครั้งผู้ป่วยก็มักจะแก้ปัญหาด้วยการไปซื้อยานอนหลับมารับประทานเอง ซึ่งยานอนหลับก็เป็นดาบสองคมได้บ่อยๆ ในผู้สูงอายุ จากผลการศึกษาในประชากรผู้สูงอายุพบว่า ผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปที่อยู่ในชุมชน ได้รับความทนทุกข์ทรมานของอาการนอนไม่หลับถึงมากกว่าครึ่ง ยิ่งกว่านั้นอาการนอนไม่หลับอาจเป็นอาการเตือนของโรคอื่นๆ ทางสมอง ที่สมควรได้รับการตรวจพบและแก้ไข ก่อนที่จะสายเกินไป ทั้งหมดนี้แสดงถึงขนาดของปัญหานอนไม่หลับและความรุนแรงของอาการที่ถึงเวลาแล้วที่เราควรหันมาสนใจอย่างจริงจัง

สาเหตุของการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ แบ่งออกได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ

1. เกิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของความชรา
โดยปกติเมื่อมนุษย์เริ่มเข้าสู่วัยชรา สมองจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมเหมือนเช่นอวัยวะอื่น โดยลักษณะการนอนของผู้สูงอายุจะมีลักษณะดังต่อไปนี้  
            • ระยะเวลาของการนอนตอนกลางคืนจะลดลง
            • ใช้เวลานานขึ้นหลังจากเข้านอนเพื่อที่จะหลับ
            • ช่วงระยะที่หลับแบบตื้น ( ตอนที่กำลังเคลิ้มแต่ยังไม่หลับสนิท ) จะยาวขึ้น ขณะที่ช่วงระยะที่หลับสนิทจริงๆ จะลดลง
            • จะมีการตื่นขึ้นบ่อยๆ กลางดึก
ดังนั้นผู้สูงอายุแม้จะมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ สมวัย ก็อาจรู้สึกว่าตัวเองนอนน้อยลง หรือคิดไปว่านอนไม่หลับ แต่มีข้อที่น่าสังเกตคือ ผู้ป่วยกลุ่มนี้แม้จะดูเหมือนว่า “ นอนไม่หลับ ” แต่ช่วงกลางวันก็มักจะไม่มีอาการง่วงเหงาหาวนอนแต่อย่างใด

2. เกิดเนื่องจากมีโรคที่เป็นพยาธิสภาพซ่อนอยู่ ได้แก่
            • จากยาที่ผู้สูงอายุกำลังใช้อยู่
               ยาบางประเภทโดยเฉพาะยาที่ออกฤทธิ์ในระบบประสาทส่วนกลางหรือสมอง ทำให้ผู้สูงอายุมีอาการนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ เช่น การใช้ยานอนหลับนานๆ ยารักษาอาการสั่น เคลื่อนไหวช้าในโรค Pakinsonism หรือบางครั้งอาจเป็นส่วนผสมของยารักษาโรคอื่นที่ไม่เกี่ยวกับทางสมองเช่น alcohol ในพวกยาน้ำแก้ไอ หรือ caffeine ที่ผสมในยารักษาโรคหวัด เป็นต้น เมื่อผู้สูงอายุหยุดการใช้ยาเหล่านี้ อาการนอนไม่หลับก็จะหายไปเอง
            •  โรคเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ
                ผู้สูงอายุที่มีโรคใดก็ตามที่ทำให้ต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยๆ ตอนกลางคืน ก็จะมีผลต่อการนอนด้วย เช่น โรคเบาหวาน จะทำให้ปัสสาวะบ่อยและปริมาณปัสสาวะมาก โรคต่อมลูกหมากโตในผู้สูงอายุชาย โรคไตวายเรื้อรัง หรือแม้แต่การใช้ยาขับปัสสาวะในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง หรือภาวะหัวใจวาย ก็ทำให้มีปัสสาวะตอนกลางคืนได้บ่อย             
            •  ความเจ็บปวด
                ความเจ็บปวดทางกายไม่ว่าจากอวัยวะใด จะมีผลทางอ้อมต่อการนอนหลับในผู้สูงอายุเสมอ ที่พบบ่อยมักเกิดจาก โรคของกระดูกและข้อเสื่อม ที่ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดเรื้อรังได้ เช่น ข้อเข้าเสื่อม กระดูกคอเสื่อม เป็นต้น นอกจากนั้นอาการเจ็บปวดอาจเกิดจากอวัยวะภายในช่องท้องเช่น ท้องผูก แน่นท้อง อาการไม่ย่อย เป็นต้น
            •  โรคสมองเสื่อมและภาวะจิตผิดปกติ
ิ                ผู้สูงอายุที่เริ่มมีสมองเสื่อมในระยะแรกจะมีอาการนอนไม่หลับได้ เพิ่มจากอาการขี้หลงขี้ลืม หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ส่วนสาเหตุของสมองเสื่อมในผู้สูงอายุไทยมักเกิดจากการอุดตันของเส้นโลหิตในสมองที่เกิดซ้ำกันหลายๆ ครั้ง อาจจะมีหรือไม่มีอาการของอัมพาตร่วมด้วยก็ได้ นอกจากนั้นภาวะซึมเศร้าก็เป็นสาเหตุของการนอนยากในผู้สูงอายุได้ โดยผู้ป่วยมักจะมีลักษณะที่เข้านอนได้ตามปกติ แต่ตื่นขึ้นกลางดึกเช่น ตี 3-4 แล้วไม่สามารถนอนต่อได้อีก
            •  อื่นๆ
                ผู้สูงอายุบางรายเวลานอนหลับสนิท สมองส่วนที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการกระตุ้นการหายใจจะทำงานลดลง ผู้ป่วยอาจหยุดหายใจได้ชั่วขณะ จากนั้นสมองจะถูกกระตุ้นอีกครั้งอย่างรุนแรงเพื่อให้หายใจ ขณะนั้นผู้ป่วยอาจตื่นขึ้นมาได้ทำให้การนอนหลับไม่ต่อเนื่องได้ หรือบางรายเวลาหลับสนิท ลิ้นในช่องปากจะตกย้อนไปข้างหลังและอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้เกิดเสียงกรนขึ้นได้ และถ้าอุดกั้นมากขึ้นถึงกับทำให้อากาศไม่สามารถผ่านเข้าหลอดลมและปอด สมองก็จะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง เพื่อให้ร่างกายพยายามหายใจก็ทำให้ผู้ป่วยตื่นขึ้นได้อีกเช่นกัน

            จากสาเหตุของการนอนหลับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นว่าผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการซักประวัติการเจ็บไข้ได้ป่วย ประวัติการนอน และตรวจร่างกายจากแพทย์โดยละเอียดเพื่อสืบสาวถึงสาเหตุที่แท้จริงของการนอนไม่หลับในผู้ป่วยแต่ละราย

            ในขั้นต้น ผู้สูงอายุที่เริ่มประสบปัญหาการนอนไม่หลับ มีข้อปฏิบัติบางประการที่อาจช่วยบรรเทาอาการนอนไม่หลับได้ ดังนี้
            •  พยายามหลีกเลี่ยงการนอนกลางวัน หรือจำกัดเวลาการนอนกลางวัน ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมงในช่วงบ่าย
            •  หลีกเลี่ยงการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ , เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ โดยเฉพาะเวลาเย็น เป็นต้น
            •  ไม่ควรดื่มน้ำในช่วงเวลา 4-5 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเข้านอน ถ้ามีปัญหาปัสสาวะเวลากลางคืนบ่อยๆ
            •  เพิ่มกิจกรรมหรือการออกกำลังกายในช่วงเวลากลางวันให้มากขึ้น
            •  ถ้าผู้สูงอายุไม่มีอาการง่วงนอนเมื่อถึงเวลาเข้านอน และไม่สามารถนอนหลับได้ ก็ควรลุกขึ้นมาหาอะไรทำดีกว่าที่จะนอนกลิ้งไปมาบนเตียง
            •  กำหนดเวลาอาหารมื้อเย็นให้คงที่สม่ำเสมอและควรจะเป็นอาหารที่มี protein สูงเมื่อเทียบกับมื้ออื่นๆ
            •  พยายามจัดสิ่งแวดล้อมภายในห้องนอนให้เงียบและมืดพอสมควร ไม่ร้อนหรือหนาวเกินไป
            •  ฝึกการทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ

           โดยสรุป ผู้สูงอายุมักประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับได้บ่อยๆ ทั้งนี้เนื่องจากความชรา มีผลกระทบต่อความเสื่อมของสมอง ผู้สูงอายุโดยทั่วไปจึงควรทำความเข้าใจกับปัญหาที่เป็น “ ปกติ ” ในผู้สูงอายุและพยายามปฏิบัติตัวตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้น และเมื่ออาการนอนไม่หลับยังไม่ดีขึ้น ผู้สูงอายุก็อาจจำเป็นต้องรับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์ เพื่อค้นหาโรคต่างๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุต่อไป

อ่านเพิ่มเติม … https://www.si.mahidol.ac.th/project/geriatrics/knowledge_article/knowledge_healthy_6_008.html

“2 สาเหตุทำให้ผู้สูงอายุนอนไม่หลับ พร้อมวิธีแก้ไข”

โดยกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข

ยิ่งอายุมากขึ้นร่างกายของเรายิ่งเสื่อมขึ้นตามวันวัย การทำงานของสมองจึงรวนพร้อมกับไม่เป็นปรกติดั่งเช่นคนหนุ่มสาว ซึ่งสัญญาที่เป็นเครื่องยืนยันว่าหลักเลขได้เข้าสู่โหมดผู้สูงวัยนั้นก็คือ “การนอนไม่หลับ” และมีการตื่นในช่วงกลางดึกบ่อยๆ อันเป็นการอาการเริ่มแรกบ่งบอกของโรคต่างๆ ทางสมอง

สาเหตุของการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุนอกจากเกิดจากอายุที่เปลี่ยนแปลงมากขึ้น เมื่ออายุเพิ่มขึ้นสมองของคนเราจะเสื่อมไปตามวัยนั้นพบได้ในผู้สูงอายุทุกเพศและแทบทุกคนแม้ว่าผู้สูงอายุจะมีสุขภาพดีก็ตาม สาเหตุที่สำคัญรองลงมาคือมีโรคซ่อนอยู่ ภายในร่างกายแบ่งออกได้คือ

1.ผู้สูงอายุที่มีโรคใดก็ตามที่ทำให้ตื่นขึ้นมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อย ทำให้มีผลกระทบในการนอนต้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ เช่น ผู้สูงอายุที่เป็นโรคเบาหวาน โรคต่อมหมวกไตหรือไตวายเรื้อรัง โรคเหล่านี้ทำให้ปัสสาวะบ่อยครั้ง โรคข้อเสื่อมหรืออาการเจ็บป่วยเรื้อรังก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดตามร่างกายส่งผลทางอ้อมต่อการนอนหลับ

2.เกิดมาจากยาระบบประสาทหรือสมอง เช่นการใช้ยานอนหลับเป็นระยะเวลานาน การใช้ยาในการรักษาโรคพาร์กินสัน หรือการใช้ยารักษาโรคบางชนิด อาทิเช่น ยาน้ำแก้ไอที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์เจือปนอยู่ เมื่อผู้สูงอายุใช้ยาเหล่านี้จะส่งผลต่อการนอนไม่หลับ ซึ่งหากผู้สูงอายุหยุดกินยาเหล่านี้อาการนอนไม่หลับก็จะหายไปเอง

วิธีป้องกันและรักษาให้นอนหลับได้มากขึ้น

ควรหลีกเลี่ยงการนอนหลับในเวลากลางวันเป็นระยะเวลานานๆ งดการดื่มสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การดื่มน้ำในช่วง 4-5 ชั่วโมงก่อนเข้านอน

เลือกรับประทานอาหารเย็นให้เป็นเวลาและควรกินอาหารที่มีโปรตีนสูงพร้อมทั้งเพิ่มกิจกรรมหรืออกกำลังกายในช่วงกลางวันให้มากขึ้นและเมื่อถึงเวลานอนแต่ผู้สูงอายุไม่ง่วงควรหากิจกรรมให้ผู้สูงอายุทำ

ห้องนอนไม่ควรสว่างเกินไปเพราะแสงสว่างจะรบกวนการนอนหลับและฝึกทำสมาธิก่อนนอนเพื่อให้จิตใจสงบจะทำให้นอนหลับได้ลึกและเต็มอิ่ม

ทั้งนี้ทั้งนั้นหมั่นทำให้เป็นตารางและแบบแผนเท่านี้คุณก็จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นผ่องใสเพราะสมองได้รับการพักผ่อนแถมสุขภาพยังแข็งแรงห่างไกลโรคไม่ต่างกับวัยหนุ่มสาวเมื่อคราอดีต…

อ่านเพิ่มเติม … https://www.dmh.go.th/news-dmh/view.asp?id=27751

“สาเหตุการนอนไม่หลับของผู้สูงวัย”

ข้อมูลจาก
ผศ. พญ.ดาวชมพู นาคะวิโร
ภาควิชาจิตเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี
มหาวิทยาลัยมหิดล

 

การนอนหลับถือเป็นการพักผ่อนที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่จากการสำรวจกลับพบว่าในประเทศไทยมีผู้สูงอายุที่ประสบปัญหาการนอนไม่หลับสูงถึง 50% มีภาวะการนอนกรนและหยุดหายใจขณะหลับ 2-10% ถือเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญและควรทำความเข้าใจ

การนอนหลับเป็นการพักทั้งด้านร่างกายและจิตใจ

เพราะระหว่างที่นอนหลับร่างกายจะกลับสู่ภาวะสมดุล เช่น จังหวะการเต้นของหัวใจและชีพจร รวมถึงฮอร์โมนต่างๆ ที่มีการหลั่งอย่างสม่ำเสมอ ส่วนทางด้านจิตใจพบว่าในขณะนอนหลับ ร่างกายจะมีการรวบรวมข้อมูลในชีวิตประจำวันมาเก็บไว้เป็นความทรงจำ ให้สภาพจิตใจได้ผ่อนคลาย และให้ร่างกายได้แก้ปัญหาต่างๆ ช่วงที่พักจิตใจ

ในกรณีที่ร่างกายนอนหลับไม่เพียงพอ

จะส่งผลกระทบให้รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่างๆ ความจำลดลง สมองตื้อ คิดอะไรไม่ค่อยออกหรือคิดได้ช้าลง ส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิต นอกจากนี้ในด้านจิตใจ การนอนไม่หลับยังก่อให้เกิดความรู้สึกวิตกกังวลได้ หรือเป็นปัญหาพื้นฐานในเรื่องของอาการซึมเศร้าได้ด้วย

สาเหตุการนอนไม่หลับโดยทั่วไป มักมาจาก

ปัญหาวิตกกังวล เช่น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต การเปลี่ยนงาน การย้ายงาน และอื่นๆ ที่ทำให้รู้สึกกังวลใจ ซึ่งส่งผลต่อการนอนหลับได้ นอกจากนี้ในเรื่องของอายุก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งพบว่าในผู้สูงอายุมักมีการนอนไม่หลับสูงกว่าวัยอื่นๆ

สาเหตุการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ ได้แก่

การทำงานของร่างกายที่เสื่อมลง ระดับฮอร์โมนที่ลดง โรคประจำตัวที่รบกวนการนอน และการรับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด ทำให้การนอนหลับลึกหรือพักผ่อนร่างกายของผู้สูงอายุมีเปอร์เซ็นน้อยกว่าคนหนุ่มสาว ซึ่งเป็นลักษณะปกติของผู้สูงอายุ แต่ถ้าหากในผู้สูงอายุรายไหนที่มีความวิตกกังวลอาจส่งผลให้การนอนไม่หลับมีอาการที่หนักขึ้นกว่าเดิมได้

ในเรื่องของการตื่นนอนกลางดึกที่ผู้สูงอายุรวมถึงคนส่วนใหญ่มีความวิตกกังวลหรือตื่นตระหนกเพราะคิดว่าเป็นเรื่องผิดปกติ แต่ในความเป็นจริงแล้วหากมีการตื่นกลางดึกและสามารถนอนหลับต่อได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นห่วง และไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพการนอนแต่อย่างใด

การรักษาปัญหาการนอนไม่หลับในผู้สูงอายุ

เริ่มต้นให้ดูก่อนว่าผู้ประสบปัญหามีเรื่องใดวิตกกังวลอยู่หรือไม่ หากมีให้จัดการที่เรื่องนั้น เมื่อไม่มีความวิตกกังวลก็จะสามารถนอนหลับได้ในที่สุด สำหรับผู้ที่ไม่มีเรื่องวิตกกังวล อาจมีในเรื่องของโรคประจำตัวที่รบกวนการนอน ซึ่งควรดูแลที่ตัวโรคนั้นๆ

แต่ในผู้สูงอายุบางรายมีความวิตกกังวลในเรื่องของการนอนไม่หลับโดยตรง ส่วนนี้ควรให้ผู้สูงอายุทำจิตใจให้ผ่อนคลายก่อนนอน อาจฟังเพลงในจังหวะเบาๆ หรือสวดมนต์ รวมถึงการทำกิจกรรมอื่นๆ เพื่อความผ่อนคลายแล้วจึงเข้านอน จะช่วยให้หลับสบาย ไม่ควรสั่งหรือบังคับให้ตัวเองนอน เพราะจะทำให้เกิดความเครียดมากขึ้น และส่งผลให้นอนไม่หลับ

นอกจากนี้สิ่งที่ควรทำคือการควบคุมระยะเวลาในการนอน คือการตื่นและการนอนให้ตรงเวลาในทุกๆ วัน จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระยะยาว

สำหรับการใช้ยานอนหลับ

เป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษา แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ ซึ่งโดยทั่วไปแพทย์จะไม่ค่อยใช้ยาในการรักษา แต่จะรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ก่อน เว้นแต่ในกรณีที่คนไข้มีความต้องการที่จะรักษาโดยเร็วที่สุด แพทย์จึงจะใช้ยาเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ นอกจากนี้ผู้ป่วยบางรายอาจมีพฤติกรรมการซื้อยาทานเอง อาจเป็นยาที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยาทั่วไป เช่น ยาลดน้ำมูกที่ช่วยให้นอนหลับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นวิธีที่ไม่แนะนำเพราะอาจส่งผลข้างเคียงตามมา

วิธีการสังเกตว่าอาการระดับไหนที่ควรพบแพทย์

ให้พิจารณาว่าส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตหรือไม่ หากการนอนไม่หลับนั้นเริ่มส่งผลต่อการใช้ชีวิต สักประมาณ 1 สัปดาห์ ควรได้รับการรักษา

อ่านเพิ่มเติม … https://www.rama.mahidol.ac.th/ramachannel/article/นอนไม่หลับผู้สูงวัย/

“คู่มือการนอนหลับเพื่อสุขภาพที่ดี”

กองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข

การนอนหลับเป็นความจําเป็นพื้นฐานที่สําคัญมากในการดํารงชีวิต เช่นเดียวกับ การหายใจ การดื่มน้ำและการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ ความสำคัญของการนอน คือ เพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อน ได้ซ่อมแซมส่วนต่างๆของร่างกาย ตลอดทุกช่วงวัยตั้งแต่ทารกในครรภ์มารดา เด็กปฐมวัย และเด็กวัยเรียน การนอนหลับมีบทบาทสำคัญกับการเจริญเติบโตและพัฒนาการของร่างกาย สมอง และระบบประสาท การเรียนรู้ เก็บความจําและการทํางานของระบบภูมิคุ้มกัน ในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ มีความต้องการเวลานอนหลับที่แตกต่างกัน การอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอความผิดปรกติ หรือโรคของการนอนหลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ ซึ่งมีผลกระทบต่อการทำงานของร่างกาย สมอง และจิตใจ ทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคสมอง โรคอ้วน โรคซึมเศร้า ภูมิต้านทานต่ำ ติดเชอได้ง่าย และการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนและในการทำงาน เป็นต้น

อ่านเพิ่มเติม … https://dopah.anamai.moph.go.th/web-upload/8x6b2a6a0c1fbe85a9c274e6419fdd6071/202103/m_magazine/24466/2307/file_download/8eeb5487769814c0a8dc8bea5e0de976.pdf

Posted on

Pfizer ประกาศความสำเร็จในการทดสอบวัคซีนต้าน COVID-19 ด้วยอัตราสมรรถภาพ 90%

ข่าวจาก VOA Thai รายงานว่า Pfizer ร่วมกับ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทในประเทศเยอรมนี ประกาศเมื่อวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563 ความสำเร็จของการทดลองวัคซีนชนิดหนึ่งสำหรับต้านไวรัส COVID-19 ซึ่งได้มีการค้นคว้ากันทั่วโลกตั้งแต่ต้นปี 2563 บริษัททั้งสองเปิดเผยว่า ได้ประสบความสำเร็จในการวิเคราะห์เบื้องต้นของการทดสอบวัคซีน BNT162b2 Pfizer ได้เริ่มการทดสอบแบบปฏิบัติการคลีนิคระยะที่ 3 เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2563 กับผู้ร่วมการทดลองจำนวน 43,538 คน ด้วยการให้วัคซีนกับผู้ร่วมการทดลองจำนวนหนึ่ง และให้น้ำเกลือกับผู้ร่วมการทดลองที่เหลือ โดยไม่ให้รู้ว่าคนไหนได้รับวัคซีนคนไหนได้รับน้ำเกลือ มีเพียงคณะกรรมการอิสระที่ควบคุมการทดสอบเท่านั้นที่มีข้อมูล

จากผู้ร่วมการทดลองจำนวน 43,538 คน มีเพียง 94 คนที่มีอาการของผลของไวรัส ซึ่งเท่ากับอัตราสมรรถภาพ 90 % ของผู้ร่วมการทดลองที่ไม่มีอาการของผลของไวรัส จะมีการทดสอบต่อเนี่องไปอีกในลัษณะเดียวกัน จนถึงวันที่ 8 พฤศจิกายน 2563 ได้มีการให้วัคซีนครั้งที่ 2 กับผู้ร่วมการทดลองไปแล้วจำนวน 38,955 คน

สมรรถภาพ และ ประสิทธิภาพ

Pfizer รายงานว่า “อัตราสมรรถภาพ (efficacy rate) ราว 90%” ซึ่งทำให้เป็นที่เข้าใจว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพ 90%  ในความเป็นจริง สมรรถภาพ (efficacy) และ ประสิทธิภาพ (efficiency) มีความแตกต่างกัน นักภูมิคุ้มกันไวรัสวิทยา Zania Stamataki ของ University of Birmingham ได้ให้คำอธิบายไว้ว่า “สมรรถภาพ (efficacy) คือความสามรถภายใต้สถานะการณ์ที่ควบคุม ส่วน ประสิทธิภาพ (efficiency) คือความสามารถในสภาวะที่เป็นจริง ไม่มีการควบคุม”

วัคซีนปลอดภัยหรือไม่

คณะกรรมการติดตามผลการทดลองรายงานว่า ยังไม่พบผลกระทบต่อความปลอดภัยอย่างร้ายแรงในการทดลองระยะ 3 Pfizer และ BioNTech จะยังคงรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับความปลอดภัยต่อไป Stamataki คาดว่าจะได้รับข้อมูลที่เกี่ยวกับความปลอดภัยจากการฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 ในเร็วๆนี้ FDA จะทำการวิเคราะห์และเปิดเผยผลการวิเคราะห์ในราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤศจิกายน หลังจากนั้นจะยังคงมีการติดตามผลกระทบระยะยาวในผู้ร่วมการทดลองต่อไปอีก 2 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งที่ 2 แม้ว่าจะมีการใช้วัคซีนอย่างแพร่หลายแล้วก็ตาม

ผลกระทบต่อสาธารณะชน

นิวยอร์คไทม์รายงานว่า “ผุ้บริหารระดับสูงของ Pfizer กล่าวว่าบริษัทจะสามารถผลิตวัคซีนได้ราว 30-40 ล้านชุดภายในปี2563 ซึ่งจะใช้ฉีดให้คนได้ 15-20 ล้านคน คนละ 2 ชุด เป็นการให้ภูมิคุ้มกันครั้งแรก และครั้งที่สองเป็นการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน โดยที่จะฉีดให้กับกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงและบุคคลากรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและช่วยเหลือก่อน ซึ่งจะครอบคลุม 42% ของกลุ่มคนดังกล่าวทั่วโลก และ 30% ของกลุ่มคนดังกล่าวในสหรัฐอเมริกา Pfizer และ BioNTech คาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนได้ 1,300 ล้านชุดในปี 2564 ซึ่งไม่เพียงพอสำหรับความต้องการของทั้งโลก แต่ถ้าบริษัทอื่นสามารถผลิตวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันได้ ก็จะเพียงพอกับความต้องการของทั้งโลก ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานกว่า 10 แห่งทั่วโลกที่กำลังทำการทดลองอยู่

อย่างไรก็ตามผู้ทรงคุณวุฒิยังคงสนับสนุนให้มีการรักษาระยะห่างในกลุ่มคน (social distancing) และสวมหน้ากากอนามัย (mask) ต่อไปจนกว่าจะสามารถผลิตวัคซีนที่มีประสืทธิภาพอย่างเพียงพอ

[ที่มา: https://www.msn.com/en-us/health/medical/pfizer-s-covid-19-vaccine-has-a-90-percent-efficacy-rate-what-does-that-mean/ar-BB1aSXXE?ocid=msedgntp]

Posted on

ระบบ CPF ของ ประเทศสิงคโปร์

จาก website www.cpf.gov.sg ซึ่งเป็น website ของรัฐบาล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกองทุน Central Provident Fund (CPF) ซึ่งเป็นรากฐานของระบบประกันสังคม (Social security system) ไว้อย่างน่าสนใจ และอาจจะเป็นประโยชน์ในการเปรียบเทียบกับกองทุนที่เรามีอยู่เพื่อการปรับปรุงให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในอนาคต

สำหรับพนักงานที่มีเงินเดือน จะมีการหักเงินเก็บส่วนหนึ่งจากเงินเดือน และนายจ้างต้องจ่ายสมทบส่วนหนึ่ง อัตราการหักจากเงินเดือนและเงินสมทบแตกต่างกันขึ้นกับอายุของพนักงานตามตารางข้างลางนี้

เงินที่หักจากรายได้ของพนักงานและเงินสมทบจากนายจ้างจะถูกแบ่งไปเก็บไว้เป็น 4 ส่วนในบัญชีของพนักงาน ได้แก่

  1. Ordinary account (OA)
  2. Special account (SA)
  3. Medisave account (MA)
  4. Retirement account (RA)

ภาพจาก : Central Provident Fund Board (www.cpf.gov.sg)

สัดส่วนการแบ่งไปยังบัญชีต่างๆจะเปลี่ยนแปลงตามช่วงอายุ จากประกาศล่าสุดของรัฐบาลซึ่งมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2024 ตามตารางข้างล่าง

                การสะสมเงินใน CPF แต่ละเดือนมีกำหนดจำนวนสูงสุดด้วยอัตราเงินเดือน (Wage ceiling) โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ Ordinary wage ceiling และ Additional wage ceiling ในปี ค.ศ. 2024 เงินเดือนสูงสุดที่ใช้คำนวณเงินหักเก็บใน Ordinary account หรือ Ordinary wage ceiling เป็น S$6,800 และเมื่อรวมรายได้ที่ใช้คำนวน Additional wage ceiling ต้องไม่เกิน S$102,000 ต่อปี

เมื่อมีความต้องการจะเบิกเงินออมในบัญชี CPF ก็สามารถทำได้ภายใต้เงื่อนไข ดังนี้

  1. เบิกจากบัญชี Ordinary account สามารถนำไปใช้ซื้อบ้านหรืออสังหาริมทรัพย์
  2. เบิกจากบัญชี Medisave account เพื่อนำไปใช้เป็นค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาล ทั้งของตัวเองและคนในครอบครัว นอกจากนี้ยังสามารถนำไปจ่ายเบี้ยประกันสุขภาพสำหรับโปรแกรมที่ได้รับความห็นชอบจากรัฐบาล
  3. เบิกจากบัญชี Retirement account เพื่อใช้ในการดำรงชีพเมื่ออายุครบ 55 ปี ซึ่งสามารถเบิกเป็นรายเดือนหรือเป็นงวดเดียวก็ได้

ในกรณีที่ยังมีเงินสะสมในบัญชี CPF หลังจากเสียชีวิต เงินสะสมที่เหลืออยู่จะถูกโอนให้กับทายาทหรือผู้ที่ถูกระบุไว้ ถ้าไม่มีทายาทหรือระบุผู้รับผลประโยชน์ เงินสะสมที่เหลืออยู่จะถูกโอนไปยังกองทุนเพื่อสาธารณะต่อไป